วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

GNH (Gross National Happiness)

         สองสามวันที่ผ่านมานี้ เกี่ยวพันแต่กับเรื่องของการอ่าน ไปอ่านเจอเรื่องหนึ่งเข้าที่เกี่ยวกับประเทศ ภูฏาน (ซึ่งฉันอาจรู้ช้าสุด) อ่านแล้วรู้สึกดีอย่างแรงทั้ง ๆ ที่น้าสาวของก็ชอบเล่าให้ฟังเรื่องภูฏานอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกชื่นใจและทำให้นึกถึงประเทศไทยของเรามากขนาดนี้เลย ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่ประเทศ ภูฏาน เค้าใช้หลักการปกครองประเทศแบบ GNH (Gross National Happiness) ซึ่งแปลเป็นไทยว่า "ความสุขมวลรวมประชาชาติ" ลองคิดดูสิคะ จะดีแค่ไหนถ้าประเทศที่เราอาศัยอยู่เป็นประเทศที่วัดความเจริญ จากความสุขของคนทั้งชาติ ถ้าวัดความเจริญกันที่ความสุขของแต่ละคน ดิฉันคิดว่าที่ภูฏาน อาจเป็นประเทศที่มีความเจริญที่สุดในโลกก็ได้ สิ่งนี้ทำให้นึกถึงหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทานให้กับปวงชนชาวไทย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ความเจริญแบบเปลือก ๆ แต่พระองค์ท่านทรงประทานความสุขที่แท้ให้กับประชาชน ความสุขบนพื้นฐานของความพอเพียง ด้วยหลักการใช้ชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียงนี่เองหากเรานำมาน้อมใส่เกล้าใส่กระหม่อม ประเทศไทยของเราต้องเป็นประเทศที่มี "ความสุขมวลรวมประชาชาติ" ไม่แพ้ภูฏานอย่างแน่นอน และคนไทยทุกคนก็จะรู้จักคำว่า แบ่งปันและถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากขึ้น คนไทยทุกหมู่เหล่าผูกพันธ์แน่นแฟ้นหาใครเปรียบไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าใครจะมายุยงให้แตกกัน ก็ต้องล่าถอยออกไปเพราะคนไทยปกป้องกันและกัน
           ฉันเชื่อเหลือเกินว่าหลายล้านคนในประเทศไทย ได้น้อมนำคำสอนของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใส่เกล้าใส่กระหม่อม  สิ่งที่ประเทศไทยเราไม่เหมือนประเทศใดในโลก คือ เรามีพระมหากษัตริย์ผู้ซึ่งครองแผ่นดินโดยธรรม อีกทั้งยังวางแนวทางแห่งความสุข ให้กับประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่อาจกำลังหลับสบายในตอนนี้  คนไทยนี่ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน ว่ามั้ย.

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

'Tis better to be fortunate than wise.

         'Tis better to be fortunate than wise. แปลความหมายได้ว่า เป็นคนโชคดีดีกว่าเป็นคนฉลาด lucky quote ของ จอห์น เว็บสเตอร์  จะจริงเท็จหรือไม่อย่างไรนั้นก็แล้วแต่ใครจะคิด ไม่กี่วันก่อน เพิ่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับความโชคดี จบไปหมาด ๆ เห็นประโยคนี้แล้วโดนใจ เพราะส่วนตัวคิดว่าใช่เลย เป็นคนโชคดีดีกว่าเป็นคนฉลาด นี่ถ้าคนฉลาดมาได้ยินเข้าคงไม่พอใจแน่ ว่าโชคดีจะดีกว่าฉลาดได้ไงยะก็เพราะว่าฉลาดถึงได้โชคดีไง(อะ..ก็ว่ากันไป) เคยเห็นคนเก่ง ๆ แต่ยังไปไม่ถึงฝันมั้ยคะ บางคนอาจจะนึกไม่ออก จะบอกลักษณะให้ก็แล้วกันค่ะ เป็นคนเก่งมาก ๆ เช่น อาจจะเล่นดนตรีเก่ง เก่งศิลปะ เก่งเฉพาะด้าน เราว่าเค้าก็เก่งนะ แต่ก็ยังเอื้อมคว้าความฝันมาไม่ได้ เพราะ่ว่าเก่งต้องมากับเฮงด้วย อันนี้ที่ดิฉันคิดนะคะ เพราะชอบคิดว่าตัวเองโชคดี(555)
           แต่จะว่าไป เราก็มักจะแอบเซ็งอยู่บ่อย ๆ เวลาที่ใครมาบอกเราว่า โห..แกโชคดีมากเลยอะที่ได้งานนี้ หรือ โห..แกโชคดีมากเลยอะที่เอ็นติดที่นี่ โห...แกโชคดีมากเลยอะที่เข้ารอบเดอะสตาร์ โห...แกโชคดีมากเลยอะที่...บลา บลา บลา เจ้าของผลงานก็อาจจะมีแย้งในใจ แบบ..รมณ์เสียว่าไม่ได้โชคช่วยย่ะ เป็นเพราะฉันเก่งและฉลาดต่างหากล่ะ ดิฉันแน่ใจว่าเจ้าของ quote ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรฉลาดหรือเก่งหรอกค่ะ แต่น่าจะหมายถึงความโชคดีของคนเราอาจมีอานุภาพมากกว่าความฉลาดก็ได้ เพราะเมื่อโชคดีวิ่งชน หากประกอบกับความฉลาดของเราด้วยแล้วอาจทำให้หลายสิ่งที่เราใฝ่ฝันบันดาลขึ้นมาได้ แต่หากเราเป็นคนเ่ก่งคนฉลาด แต่โชคไม่เข้าข้่างก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ดังใจหวัง และต่อให้เราไม่มีไหวพริบปฏิภาณหรือความฉลาดอยู่เลย แต่โชคยังเข้าข้าง เราอาจถูกล็อตเตอรี่ได้เงินมาเยอะแยะมากมายก็ได้ หรือ จู่ ๆ ก็ได้รับรางวัลพิเศษ หรือ โด่งดังขึ้นมาซะอย่างงั้น เพราะอย่างนี้ไงคะ มีโชคดีถึงได้ดีกว่าฉลาด แต่สำหรับคนที่คิดว่าไม่ค่อยมีโชคเราก็สามารถสร้า่งโชคของตนเองได้ค่ะ เพราะโชคดีมักมาพร้อมกับความตั้งใจ เมื่อเราตั้งใจเต็มที่โชคดีก็จะเข้าข้างเรา ดูอย่าง เอดิสันสิคะ ทดลองทำหลอดไฟเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เมื่อถึงวันที่โชคดีเข้าข้าง สิ่งที่หวังและตั้งใจไว้ ก็บรรลุผล แถมยังประโยชน์ให้กับโลกได้อย่างมหาศาล 
           ดิฉันเชื่อว่าโชคมีตัวตน หากเราเชื่อมั่นเราจะสามารถไปให้ถึงความฝันได้ แม้ต้องล้มลุกคลุกคลานซักแค่ไหน สิ่งนี้จะเป็นความหวังและกำลังใจให้เราล้มแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า.

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

Jennifer'sBody.

        Jennifer's body หนังชื่อคุ้นหูที่ เมแกน ฟ็อกซ์ แสดงนำแต่เป็นนางร้ายก็ไม่เชิงนางเอกก็คงไม่ใช่ เรียกว่าเป็นตัวสำคัญในการเดินเรื่อง หนังเรื่องนี้เรื่องราวส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเพื่อนสองคนที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้มี อาแมนด้า เซฟรายด์ เล่นด้วยหลายคนอาจ งง ๆ ว่า อาแมนด้า   เซฟรายด์ เกี่ยวไรด้วย ก็ต้องกลับไปดูหนังอีกรอบหรือเข้า IMDB ก็ดีจะได้รู้ชัดไปเลย ทีแรกดิฉันไม่คิดเลยว่าจะเป็นเธอจริง ๆ เพราะหน้าตาที่น่ารักอ่อนกว่าวัยแถมใส่แว่นด้วย ทำให้ชวนนึกว่าเป็นดาราเด็กที่ไหนมาเล่นแต่พอสังเกตดี ๆ หน้าตาก็คุ้นขึ้นเรื่อย ๆ จนจำได้ ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่าหนังแบบนี้จะเป็นหนังชวนเศร้าด้วยเหมือนกัน พอดูจบนึกแอบชมคนเขียนบท ช่างเก่งสรรหาอะไรมาสอดแทรกได้เสมอ (ถ้าใครเคยดูจูโนแล้วละก็ต้องคิดเหมือนดิฉันแน่) เรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้นที่สาวเมแกน และอาแมนด้าเป็นเพื่อนสนิทที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยวัยเด็กจึงคบหากันมาโดยตลอด แต่ด้วยลักษณะนิสัยช่างตรงข้ามกันสุด ๆ นิสัยที่ว่านี้แหละ ที่ทำให้เมแกนได้พบกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปตลอดกาล กลายเป็นซาตานที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินเลือดเนื้อสด ๆ เรื่องดำเนินไปแต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันซึ้งสุด ๆ เห็นจะเป็นฉากที่เมแกนลวงพระเอกไปฆ่า พระเอกคนนั้นเป็นแฟนของเพื่อนเธอ (สาวอาแมนด้า) เมแกนหวังจะฆ่าให้ตายแต่บังเอิญว่าอาแมนด้าเธอมาช่วยได้ทัน สิ่งที่ดิฉันรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของตัวละคร คือ ซาตานเมแกนต้องแอบหลงรักเพื่อนเธอแน่ รักจนไม่อยากให้ใครมาแยกเธอออกจากกัน เห็นได้จากครั้งแรกที่เธอเพิ่งเป็นซาตาน เธอโซซัดโซเซมาที่บ้านเพื่อนสนิท สาวซาตานมีอาการเหนื่อยและเพลียมาก แน่นอนซาตานต้องกินไม่เลือกหน้า แต่สาวอาแมนด้ากลับไม่โดนกิน (แต่ก็เกือบไป55)ซาตานกลับวิ่งหนีไปซะเฉย ๆ จนตอนสุดท้ายที่ สาวซาตานพยายามจะเข้ามาฆ่าอีกครั้ง เธอมีโอกาสที่จะฆ่าแต่ไม่ทำ   นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอมีความผูกพันธ์ กับเพื่อนเธอมากจริง ๆ หนังเรื่องนี้ดูผิวเผินภายนอกอาจจะดูเป็นหนังขายความเซ็กซี่ หรือหนังวัยรุ่นเมกัน ทั่ว ๆ ไป แต่เอาจริง ๆ ดิฉันแอบชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ แม้จะไม่โดดเด่นได้ออสการ์ หรือรางวัลจากเวทีไหน ๆ  แต่ก็มีแง่มุมให้คิดตามได้เหมือนกัน

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

New year present for my friend.

วัสดุ-อุปกรณ์ที่ต้องใช้ค่ะ
อันนี้แค่ตัดกระดาษให้เป็นวงกลมค่ะแล้วก็พับ ๆๆ และตัด ๆ ๆ เหมือนตอนที่เราเล่นตอนเด็กๆ

เสร็จเรียบร้อยของขวัญของเพื่อนทุกคน

       
        ปีใหม่ผ่านไปแล้วนะคะ แต่ละปีที่ผ่านไปนี่ช่างรวดเร็วซะจริง ดิฉันคนนึงละที่ยังเขียนเลขปีเก่าไม่คล่องเลย ปีใหม่ก็มาให้เขียนผิดเขียนถูกอีกแล้ว เวลาที่ผ่านไปความกังวลก็เพิ่มขึ้นตาม ทำไมน่ะหรอคะ ก็เพราะว่าพอปีใหม่ทีหนึ่งเราก็มาคิดทบทวน ว่าเราไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้วน่ะสิ เวลาต่อไปข้างหน้าก็เป็นเวลาที่นับถอยหลัง ไม่ใช่นับเพิ่มขึ้นอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว (สมัยเด็ก ๆ นับว่าเมื่อไหร่จะโตจะได้ทำงานเองมีเงินเป็นของตัวเอง พอโตมาแล้วไม่อยากให้เวลาผ่านไปเร็วเลย T-T) ปี ๆ ผ่านไปชีวิตเรายังไปไม่ถึงไหนเลยบางทีก็คิดแบบนี้ แต่คิดแล้วก็ดีทำให้ขยันมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้คิดว่าต้องทำอะไรเพิ่มอีก ว่าแล้วเราก็เข้าเรื่องกันเลยดีกว่ายิ่งเขียนยิ่งออกนอกเรื่องไปกันใหญ่ค่ะ
         ปีใหม่ที่ผ่านมานี้ดิฉันก็มีบางสิ่งที่อยากตั้งใจทำให้เพื่อน ๆ อยากส่งความตั้งใจลงไปในของขวัญที่เราให้ก็เลย ลองตั้งใจห่อของขวัญแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แล้วก็ตั้งใจว่าจะเอามาลงให้ทุกท่านได้ดูกันด้วย เพราะลองคิด ๆ ดูตั้งแต่เปิดบล็อกมานี่ไม่เคยมีข้อมูลไอ้อย่างที่พูดเลยจริงๆ(nuttnoise art design Wedding-craft and Anythings) ตั้งแต่เปิดบล็อกก็ลงแต่ เอนี่ติงส์ ไม่มีอาทดีไซน์กะเวดดิ้งคราฟท์เลย Y-Y วันนี้เลยตั้งใจจะเอามาลงให้ดู วิธีทำก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร  แค่มีอุปกรณ์แบบที่ได้เห็นข้างบน ก็ทำได้เหมือนดิัฉันเป๊ะ ๆ แล้วค่ะ วิธีทำโบว์ก็แบบเดียวกับที่ทำพัดนั่นแหละค่ะแค่ทำ 2 อันแล้วเอามาประกบกันเท่านั้นเอง เอาไว้วันไหนมีเวลาดิฉันจะทำอย่างอื่นมาให้ดูแบบเป็นขั้นเป็นตอนเลยนะคะ วันนี้เอาแค่น้ำจิ้มไปก่อนก็แล้วกันค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

Funny With vintage filter

Matching
So Sweet when put on Tom

vintage together
Floral Friend
8 together



สีจากภาพที่ได้เห็นข้างบนเป็นสีสันจากฟิลเตอร์ที่ดิฉันสร้างขึ้น จากโปรแกรมPhotoshopล้วนๆ สีที่เกิดขึ้นจึงอิงสีภาพเก่าอย่างที่ดิฉันได้ตั้งใจไว้ พอเห็นสีที่ออกมาก็ถูกใจเอามาก ๆ แต่ที่รู้สึกดีกว่านั้นก็คงเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังงานนี้ ปกติดิฉันเป็นคนที่ค่อนข้างมีความเป็นเปอร์เฟ็คชั่นนิสต์อยู่บ้างเหมือนกัน คือทำอะไรก็ตามต้องดี ต้องเนี๊ยบที่สุด ต้องเป๊ะ ๆ เลยหล่ะ แต่จะเป็นกับเฉพาะบางเรื่องที่สนใจอย่างเช่นยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องงานแต่งงานของตัวเอง เกือบทุกสิ่งในงานแต่งงานที่ดิฉันทำเองเกือบทั้งหมด ตั้งแต่การ์ดจนถึงคอนเซ็ปต์อาร์ตต่าง ๆ เพราะดิฉันสนใจในด้านนี้เป็นพิเศษ ในงานแต่งงานของดิฉันสอนบทเรียนให้กับดิฉันหลายสิ่งหลายอย่าง แถมยังทำให้ดิฉันค้นพบความชอบส่วนตัวอีกด้วย จนตอนนี้งานออกแบบการ์ดต่าง ๆ กลายมาเป็นงานพิเศษเล็ก ๆ ในชีวิตไปเลย (ซึ่งต่อไปอาจกลายเป็นงานใหญ่ก็ได้) ดิฉันเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยม ที่ได้แต่งงานก่อนใคร เราไม่ค่อยได้พบปะพูดคุยกันนักตั้งแต่ก่อนงานแต่งงานของดิฉัน เพราะดิฉันไม่ได้ติดต่อใครเลยตั้งแต่เรียนจบ เราเจอกันอีกทีก็ตอนที่งานฉลองแต่งงานของดิฉัน หลังแต่งงานเราก็ไม่ได้เจอกันอีก ไม่นานนักก็รู้ข่าวว่าเพื่อนเราคนหนึ่งกำลังจะแต่งงานไปอีกคน สิ่งนี้ทำให้ดิฉันกลับมาเจอพวกเธออีก งานแต่งงานเพื่อนดิฉันก็เหมือนงานแต่งงานตามต่างจังหวัดทั่วไป ที่จัดตอนเช้ากินเลี้ยงตอนเที่ยงแล้วงานก็จบ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่สิ่งที่พิเศษคือ ดิฉันกลับพบว่าเพื่อนในกลุ่มทุกคนมีส่วนร่วม ทุกคนเต็มใจช่วยจริง ๆ มากันตั้งแต่เช้าเลย (รวมถึงตัวดิฉันด้วย) ถ้าดิฉันเป็นเจ้าของงานคงปลื้มยิ้มไม่หุบทั้งวันเลยหล่ะ งานแต่งงานครั้งนี้ของเพื่อนทำให้ดิฉันมองข้ามอะไรไปหลาย ๆ อย่างถึงแม้งานครั้งนี้จะไม่ใช่งานเลิศเลอเหมือนงานในกรุงเทพ หรืองานแต่งงานของใคร ๆ ที่ตั้งใจมากมายเพื่อพยายามให้ออกมาดูดี แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือความรู้สึกจากภายในที่สัมผัสได้ถึงความเหนียวแน่นในจิตใจ ทำให้ดิฉันมองข้ามความสวยงามไปได้ ทำให้รู้สึกได้เลยว่าสวยไม่สวยก็ช่าง แต่งานที่เต็มไปด้วยน้ำใจของเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องแบบนี้แหละ ที่จะติดตราตรึงใจเจ้าของงานไปได้ตราบนานเท่านาน